จากบทความก่อนหน้านี้เราได้เรียนรู้ในเรื่องของการใช้งานคำสั่ง if ซึ่ง คำสั่ง if นั้นจะกระทำก็ต่อเมื่อมีค่าความจริงเป็นจริง หากค่าที่ได้มีค่าเป็นเท็จ โปรแกรมจะไม่ทำงาน ดังนั้นหากต้องการให้มีการทำงานต่อเมื่อได้ค่าเป็นเท็จจำเป็นจะต้องใช้งาน else เข้ามาช่วย ซึ่งมีรูปแบบการเขียนง่าย ๆ ดังนี้
โครงสร้างคำสั่ง if else
if ตัวแปร เงื่อนไข :
คำสั่งที่ต้องการให้เกิดขึ้น
else :
คำสั่งที่ต้องการให้เกิดขึ้น
ตัวอย่างคำสั่ง if else
print ("ระบบกรอกข้อมูลอายุ (ต้องไม่ต่ำกว่า 18 ปี)") a=int(input("กรอกอายุของท่าน-->")) if a>=18: print("อายุของท่านผ่านเกณฑ์ที่กำหนด") else: print("อายุของท่านไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด")
ผลที่ได้จากเมื่อโปรแกรมทำงาน กรณีกรอกตัวเลข 19
ระบบกรอกข้อมูลอายุ (ต้องไม่ต่ำกว่า 18 ปี)
กรอกอายุของท่าน–>19
อายุของท่านผ่านเกณฑ์ที่กำหนด
ผลที่ได้จากเมื่อโปรแกรมทำงาน กรณีกรอกตัวเลข 17
ระบบกรอกข้อมูลอายุ (ต้องไม่ต่ำกว่า 18 ปี)
กรอกอายุของท่าน–>17
อายุของท่านไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด
การนำคำสั่ง if else มาใช้ในการทำงานสามารถประยุกต์ทำงานได้หลายด้านมาก ๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นย่อมขึ้นอยู่กับผู้เขียนโปรแกรมว่าต้องการเขียนโปรแกรมทำอะไร มีเงื่อนไขอะไรที่ต้องใช้